เรื่อง: ฐิตินันท์ ศรีสถิต
จากเวปไซท์ : http://www.greenworld.or.th
|
1.
เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 จากประโยคบอกเล่าที่ว่า “กากกาแฟน่าจะใช้ปลูกเห็ดได้"
สำหรับโปรเฟสเซอร์อลัน รอสส์ (Alan Ross) เขาก็แค่แสดงความคิดเห็นขึ้นมาลอยๆ ทว่าสำหรับผู้ฟังอย่างนิกฮิล อะโรรา (Nikhil Arora) อเล็กซ์ วาเลซ (Alex Velez) นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายในสาขาธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ คำกล่าวนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ไอเดียที่หย่อนลงมาในจังหวะเหมาะเจาะเหลือเกิน
“เราทั้งคู่เข้าใจและพอจะมองเห็นความเป็นไปได้ ผู้คนในประเทศนี้ดื่มกาแฟกันเป็นบ้าเป็นหลัง ถ้าเราสามารถเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่า มันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว" อะโรราเปิดฉากเล่า
แล้วมันก็จริงอย่างเขาว่า ยอดขายเมล็ดกาแฟทั่วสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 1,000 ล้านกิโลกรัมต่อปี ซึ่งเมื่อแปรรูปมันเป็นเครื่องดื่มหอมกรุ่น ก็จะเหลือกากกาแฟจำนวนมหาศาล เกือบทั้งหมดถูกทิ้งลงถังขยะเพื่อรอเวลาส่งไปกำจัด
|
ภาพ : http://images.businessweek.com/ss/10/06/0608_socialentrepreneurs/3.htm |
|
โอกาสที่ซ่อนอยู่ในวัตถุดิบปริมาณล้นเหลือผลักให้สองหนุ่มตามสืบเสาะ ข้อมูลเพิ่มเติมจากโปรเฟสเซอร์อลัน กระทั่งได้รับการแนะนำให้รู้จักกับผู้เชี่ยวชาญด้านเห็ดรา ชีวิตของพวกเขาจึงได้ก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ที่นับหนึ่งด้วยการสั่งหัวเชื้อ พร้อมกับเปลี่ยนห้องพักเล็กๆ ของวาเลซเป็นห้องแล็บวิทยาศาสตร์ชั่วคราว ทดลองเพาะเชื้อ และลงมือปลูกเห็ดในกากกาแฟ
...อีกไม่กี่เดือนถัดมา เมล็ดพันธุ์ไอเดียก็งอกงาม เมื่อนิกฮิลและอเล็กซ์ช่วยกันก่อร่างสร้างธุรกิจขายส่งเห็ดนางฟ้าและเห็ดหอม ภายใต้แบรนด์ "Back to the Roots”
2. แม้ค่าพีเอชสูงของกากกาแฟจะเอื้อต่อการใช้เป็นวัสดุปลูกเห็ด แต่นักเพาะเห็ดหลายคนก็มองว่า มันอาจเกาะกันแน่นเกินไปจนเป็นอุปสรรคต่อการงอกของเห็ด และไม่น่าจะกักเก็บความชื้นไว้ได้นานเท่าที่ควร
เงื่อนไขข้างต้นทำให้นิกฮิลและอเล็กซ์ต้องลองผิดกันอยู่ 2-3 เดือน กว่าจะข้ามผ่านข้อจำกัดดังกล่าวและได้ตื่นเต้นดีใจกับเห็ดล็อตแรกที่พวกเขา ปลูกเองกับมือ แล้วความสงสัยก็ตามมาติดๆ ...รสชาติของมันล่ะ
ไม่รอช้า หนุ่มไฟแรงสองคนหิ้วตะกร้าเพาะเห็ดไปยังร้านอาหารดังย่านเวสต์ โคลสต์ ซึ่งนอกจากจะให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม ยังเป็นศูนย์กลางการเคลื่อนไหวเรื่องสโลว์ฟู้ดของเมืองอีกด้วย เชฟใหญ่นำเห็ดขึ้นผัดเร็วๆ บนเตาและลองชิม ก่อนจะเอ่ยปาก..."ไม่เลวเลย รสชาติดีด้วยซ้ำ"
ฟีดแบ็กเชิงบวกที่สะท้อนกลับมาเพิ่มความมั่นใจขึ้นอีกเป็นกอง แล้วทั้งคู่พาหัวใจพองโตหิ้วตะกร้าเพาะเห็ดใบเดิมมุ่งหน้าไปเคาะประตูออฟฟิศ ของ "Whole Foods” ซูเปอร์มาร์เก็ตที่กระจายเครือข่ายอยู่ทางเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย...โดยไม่ ได้เตรียมตัวอะไรเลย
“มันอาจเป็นเรื่องงี่เง่าที่สุดที่ผมเคยทำ" นิกฮิลเล่าขำๆ ทว่าเหตุการณ์นั้นสร้างความประทับใจให้ตัวแทนเจรจาของซูเปอร์มาร์เก็ต ผลลัพธ์จึงไม่เพียงรับสินค้าไปวางขายในร้าน แต่ยังตามมาด้วยการให้คำปรึกษาทางธุรกิจแก่สองหนุ่มมือใหม่และร่วมสนับสนุน เงินลงทุน
หลังจากนั้นไม่นานโปรเจ็กต์เห็ดๆ ก็พาพวกเขาคว้ารางวัลผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมพร้อมรับเงินจำนวน 5,000 ดอลลาร์สหรัฐจากอธิการบดี นิกฮิลและอเล็กซ์จัดแจงแบ่งเงินเป็น 2 ส่วน ก้อนแรก 1,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับซื้อรถแวนมือสองเอาไว้ขับไปรับกากกาแฟจากร้านขายกาแฟ ก้อนหลัง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับเช่าโกดังสินค้าเป็นสถานที่ผลิต บรรจุ และเตรียมการจำหน่าย
“พวกเราเดินหน้ากันเต็มที่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนงานในฟาร์มเห็ดของตัวเองไปซะแล้ว เพื่อนงงกันใหญ่ คิดว่าพวกเราเพี้ยน" ทั้งคู่เล่าถึงปฏิกิริยาจากคนรอบข้าง ซึ่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับความเห็นของผู้จุดประกาย ณ จุดสตาร์ต
“นิกฮิลและอเล็กซ์เป็นเด็กหนุ่มที่น่าทึ่ง จากจำนวนนักศึกษาหลายพันคนที่ผมเคยสอน มีอยู่ไม่กี่คนหรอกที่จะเดินความสนใจด้วยอาการกระตือรือร้นเช่นนี้ จริงๆ แล้วมีบริษัทหยิบยื่นตำแหน่งงานที่ปรึกษาด้านธุรกิจและการธนาคาร ซึ่งรายได้งามให้กับทั้งคู่ แต่เขาก็ปฏิเสธและเลือกที่จะไขว่คว้าโอกาสในการผจญภัยด้วยตนเอง" โปรเฟสเซอร์อลันกล่าวด้วยความชื่นชม
3.หลังจากส่งเห็ดไปวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่สักระยะ พวกเขาก็ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในเดือนมีนาคม 2553 นั่นคือ "Easy-to-Grow Mushroom" หรือชุดปลูกเห็ดสำหรับครัวเรือน ซึ่งทั้งเชื้อเห็ดและกากกาแฟในถุงพลาสติกมิดชิดถูกบรรจุลงกล่องกระดาษ เมื่อเปิดถุงให้ความชื้นและแสงรำไรแวะมาทักทาย ภายใน 2 สัปดาห์ดอกเห็ดสดใหม่จะงอกออกมาให้ลิ้มลอง โดยแต่ละชุดปลูกสามารถให้ผลผลิตได้ 2-3 รอบ
สองหนุ่มวางขายชุดปลูกเห็ดด้วยความคิดดีหลายตลบ...ทั้งเพราะอยากให้คนทั่วไปได้ลองสัมผัสกับสถานะ "ผู้ผลิตอาหาร" บ้างเผื่อจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงที่ขยายใหญ่กว่าเดิม ทั้งเพราะต้องการแสดงตัวอย่างชัดๆ ของรูปแบบการผลิตอาหารบนฐานแห่งความยั่งยืน ทั้งเพราะคาดหวังให้เด็กๆ ใช้เป็นเครื่องมือเรียนรู้ธรรมชาติอย่างง่ายๆ ถึงขนาดเปิดพื้นที่หน้าเว็บให้เยาวชนอวดภาพถ่ายเห็ดที่ตัวเองปลูกแต่ที่สุดเจ๋งเหนือสิ่งอื่นใดคือ แนวคิดชะลอสิ่งที่ (เหมือนจะ) ไร้ค่าให้กลายเป็นขยะช้าลง
คาดประมาณว่า ตั้งแต่เริ่มธุรกิจเห็ดมา นิกฮิลและอเล็กซ์สามารถดึงกากกาแฟออกจากถังขยะได้ราวๆ 4,500 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ แม้สุดท้ายมันจะจบปลายทางที่การกำจัดเช่นเดียวกับกากกาแฟอื่นๆ ทว่าเจ๋งกว่าตรงที่ก่อนหน้านั้นก็ได้มีส่วนร่วมในการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพไป แล้วหลายอิ่ม
ทั้งนี้ เจ้าของร้านกาแฟต้นทางมิได้ส่งมอบกากกาแฟแบบให้เปล่าๆ แต่ยังมอบเงินเล็กน้อยๆ เพื่อตอบแทนการนำมันไปต่อยอดใช้ประโยชน์ ซึ่งเขาเองก็ได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน กากกาแฟที่หายไปจากถังขยะช่วยลดภาระค่าขนส่งและกำจัดได้เดือนละหลายร้อย ดอลลาร์สหรัฐเลยเชียว
ปัจจุบันนิกฮิล อะโรรา และ อเล็กซ์ วาเลซ ในวัย 23 ปี ต้องทำงานง่วนอยู่กับเห็ดตั้งแต่ 6.30 – 21.00 น. สัปดาห์ละ 7 วัน โดยมีลูกมือร่วมทีมอีก 5 ชีวิต อาจจะเป็นการงานที่เหนื่อยหนักสักหน่อย แต่คนกลุ่มเล็กๆ นี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ความอยู่รอดทางธุรกิจและสิ่งแวดล้อมสามารถเดินไปพร้อมกันได้
...อยู่ที่ใครจะเห็นความสำคัญ อยู่ที่ใครจะลงมือทำจริงจัง...ก็เท่านั้นเอง