ข้อมูลจาก www.manager.co.th
วิจัยพบ "สาหร่าย" ซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าต้นไม้ 8 เท่า "โรงไฟฟ้าราชบุรี" เตรียมพื้นที่นำร่อง 6.2 ไร่ ผันก๊าซจากปล่องควันลงน้ำ ให้ CO2 เลี้ยงสาหร่ายผลิตพลังงาน อีก 3 ปีพร้อมขยายเชิงพาณิชย์ ทางด้าน “บางจาก” จะผลิตไบโอดีเซลจากสาหร่าย 30,000 ลิตรต่อวัน
นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้ศึกษาวิจัยเพาะเลี้ยงสาหร่าย โดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ จาก ม.เกษตรศาสตร์ ม.เชียงใหม่ และ ม.แม่โจ้ ซึ่งจากผลการวิจัยนั้น เห็นว่าสาหร่ายมีความสามารถดูดซับก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพื่อการเจริญเติบโตได้จริง โดยสาหร่าย 1 ไร่ สามารถรับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 8 เท่าของปริมาณที่ต้นไม้ 1 ไร่ดูดซับไว้ได้ นับว่าเป็นปริมาณที่สูงกว่ามาก
ทั้งนี้ นายนพพลกล่าวว่า ได้เตรียมพื้นที่บริเวณใกล้โรงไฟฟ้า ประมาณ 6.2 ไร่ เพื่อเตรียมความพร้อม เพื่อนำก๊าซปล่อยทิ้ง ที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ จากปล่องของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการเจริญเติบโตของสาหร่าย เพื่อจัดนำร่องให้กับโครงการความร่วมมือพัฒนาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพจาก สาหร่าย โดยจะขยายไปสู่เชิงพาณิชย์ในอีก 3 ปี ข้างหน้าต่อไป
ทางด้าน ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจากสาหร่าย เป็น นวัตกรรมพลังงานทดแทนที่มีศักยภาพสูงมาก เนื่องจากใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงเพียง 2 สัปดาห์ สามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล หรือน้ำมันเครื่องบินได้ จากการที่สาหร่ายเป็นพืชที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ได้ผลผลิตน้ำมันต่อพื้นที่การเพาะเลี้ยงสูงถึง 30 เท่า เมื่อเทียบกับน้ำมันปาล์ม
อีกทั้งตามข้อมูลที่ ดร.อนุสรณ์ได้จากจากมหาวิทยาลัยเจมส์คุก ประเทศออสเตรเลีย ยังระบุว่า น้ำมันสาหร่ายราคาอยู่ที่ประมาณ 120 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งถูกกว่าน้ำมันดีเซล ที่ราคาประมาณ 130 เหรียญต่อบาร์เรล และหากเทียบกับนำมันไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มราคาจะอยู่ที่ 160-170 เหรียญต่อบาร์เรล
"ถ้ามองในจุดนี้จะเห็นว่าน้ำมันจากสาหร่ายมีศักยภาพ ราคาถูกกว่าน้ำมันปาล์ม นอกจากทำน้ำมันได้แล้ว ในส่วนของกากสาหร่ายยังนำไปผลิตเป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ได้อีกด้วย" ดร.อนุสรณ์กล่าว
ทั้งนี้ เป็นการเปิดเผยระหว่างการลงนามบันทึกความร่วมมือ “การพัฒนาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพจากสาหร่าย” โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 54 ที่ผ่านมา โดยมีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานกระทรวงพลังงาน ร่วม บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)บริษัท ล็อกซเลย์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนาม
อีกทั้ง จากบันทึกความร่วมมือนี้ มีเป้าหมายในการพัฒนาโครงการให้เป็นระดับเชิงพาณิชย์ ภายใน 3 ปี โดยจะสร้างโรงงานผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากสาหร่ายให้ได้ 30,000 ลิตรต่อวัน ขนาดพื้นที่ประมาณ 500 ไร่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท
เรื่องราวของการนำสาหร่ายมาผลิตไบโอดีเซล พลังงานทางเลือกจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆ
จาก http://www.vcharkarn.com
|
Keith Cooksey นักไมโครชีววิทยา จาก Montana State University ได้ศึกษาเรื่องการที่จะนำเอาตะไคร่น้ำ สาหร่าย (Algae) มาเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงดีเซลมาตั้งแต่ปี 1980 พร้อมๆกับนักวิจัยจำนวนมากที่พยายามจะหาคำตอบในการที่จะทำให้สิ่งมีชีวิต ขนาดเล็กกลายเป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่
|
สิ่งมีชีวิตจำพวกตะไคร่ น้ำและสาหร่ายนี้ จะมีทั้งเมือกและส่วนที่เป็นน้ำมัน ทำให้เรารู้สึกลื่น เวลาสัมผัส เมื่อเข้าสู่ห้องวิจัย ทีมงานของ Keith Cooksey ก็ได้มุ่งหน้าหาคำตอบว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้สาหร่ายเหล่านั้นผลิต ‘น้ำมัน’ ได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ พวกเขาก็ได้พัฒนาสีย้อมชนิดหนึ่งเรียกว่า Nile Red ซึ่งเมื่อนำเอาสาหร่ายมาย้อมสี แล้วฉายด้วยแสงฟลูออเรสเซนต์ พวกเขาก็สามารถจำแนกส่วนที่เป็นน้ำมันออกจากคลอโรฟิลล์ได้
นาย Keith Cooksey กล่าวว่า “สาหร่ายเหล่านี้งอกงามในบ่อบำบัดน้ำเสีย หรือบ่อน้ำทิ้งที่มีเกลืออยู่ในปริมาณสูง และถ้าหากจะเพาะปลูกในเชิงพาณิชย์ก็น่าจะเป็นชายฝั่งทะเล (แถบแคลิฟอเนียร์)” เพราะสาหร่ายจะเจริญเติบโตได้ดีในน้ำเค็ม หรือแม้กระทั่งในทะเลทราย ซึ่งน้ำใต้ดินเป็นน้ำเค็ม
จากรายงานประจำปีของสถาบันวิจัยพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy Research Institute) เมื่อเกือบ 25 ปีที่แล้ว รายงานว่า “น้ำมันจากสาหร่ายนั้นมีความเหมาะสมต่อการนำมากลั่นเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง” และในช่วงขาดแคลนน้ำมันปิโตรเลียม เชื้อเพลิงทางเลือกจากการสกัดน้ำมันจากสาหร่ายก็ได้ถูกหยิบขึ้นมาใช้เพื่อ แก้ไขสถาการณ์
เทียบกับพืชชนิดอื่นๆแล้ว เมื่อนำมากลั่นเป็นไบโอดีเซล ถั่วเหลือง จะให้น้ำมัน 50 แกลลอน ในขณะที่แคนโนล่า (พืชน้ำมันชนิดหนึ่ง) ให้น้ำมัน 130 แกลลอน ส่วนสาหร่ายนั้นให้น้ำมัน 4,000 แกลลอน ในระยะเวลา 1 ปี ในพี้นที่การผลิต 1 เอเคอร์เท่ากัน แถมสาหร่ายนั้นยังต้องการเพียงแค่แสงอาทิตย์และน้ำทิ้งที่ไม่เหมาะสำหรับ การบริโภค เท่านั้น ในบ่อทดลอง พบว่าสาหร่ายเล็กๆเหล่านั้นสามารถเจริญเติบโตได้แม้จะอยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส
ใน ขณะสาหร่ายเซลล์คู่หรือ ไดอะตอม (diatom) และแพลงตอนชนิดอื่นๆที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ (phytoplankton) ก็สามารถดูดซับเอาคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่น้ำ หรือในมหาสมุทรมาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสงเช่นเดียวกับต้นไม้ แต่แพลงตอนทั้งหมดที่อยู่ในท้องทะเลนั้น สามารถกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการสังเคราะห์แสงได้มากพอๆกับต้นไม้ ทุกต้นในโลกรวมกัน (เราต้องไม่ลืมไปว่า โลกมีส่วนที่เป็นน้ำหรือมหาสมุทรอยู่ตั้ง 2 ส่วน)
ในขณะที่บริษัท เชลล์ (Royal Dutch Shell and HR Biopetroleum) ได้แถลงข่าวเรื่องการก่อสร้างห้องปฏิบัติการบนเกาะ Kona ในฮาวาย เพื่อเพาะปลูกสาหร่ายทะเลสำหรับการวิจัยเรื่องไบโอดีเซล เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ของปีที่แล้ว
ไม่เพียงพลังไบโอดีเซลจากสาหร่ายจะช่วยลด ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะถูกปล่อยออกไปในชั้นบรรยากาศ (หากไบโอดีเซลจากสาหร่ายได้รับการยอมรับและนำมาพัฒนาเพื่อใช้งานอย่างจริงจัง)เท่านั้น แต่ด้วยตัวของมัน ที่สามารถขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ทางตรงด้วยการสังเคราะห์แสงได้อีกด้วย ไม่แน่ว่า ประเด็นโลกร้อนอาจจะเป็นปัญหาเส้นผมบังภูเขา....!