ชีวมวลแบบซามูไร
ช่วงเดือนกันยายน เป็นช่วงที่นักวิชาการ และผู้บริหารของกรมวิชาการเกษตรหลายท่านเดินทางไปปฏิบัติราชการในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศ และการติดตามผลการดำเนินงานที่มีร่วมกันกับหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนาสินค้าพืชและผลิตภัณฑ์ รวมทั้งงานด้านความปลอดภัยทางอาหาร ระบบการควบคุมสารเคมีทางการเกษตร และการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ
ประเด็นหนึ่งที่นานาประเทศให้ความสำคัญ และกรมวิชาการเกษตรเองจะต้องรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวด้วย นั่นคือ การพัฒนาพลังงานจากพืชและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งประเทศในแถบเอเชียที่ให้ความสำคัญและเป็นโต้โผใหญ่ของการพัฒนาพลังงานทดแทนดังกล่าวคงไม่มีใครเกินประเทศญี่ปุ่น สถานที่ที่ทำให้เกิดพิธีสารโตเกียว ผู้นำแห่งการลดก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น
ท่านผู้อ่านคงทราบกันดีว่าพลังงานทดแทนเพื่อใช้แทนพลังงานที่ได้จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลมีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน โดยเฉพาะพลังงานจากสิ่งมีชีวิตซึ่งมีลักษณะค่อนข้างหลากหลาย และมีแนวทางในการพัฒนาที่แตกต่างกัน สำหรับ “ฉีกซอง” ฉบับนี้จะนำท่านผู้อ่านไปสัมผัสพลังงานจากชีวมวล หรือ Biomass ผ่านแนวคิดแบบญี่ปุ่น ญี่ปุ่น โปรดติดตาม
นาข้าว ด้านหน้าของโรงงาน Yamada Biomass
ทำไมต้องชีวมวล
MAFF หรือ Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries เป็นหน่วยงานระดับกระทรวงของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ทำหน้าที่รับผิดชอบงานด้านการเกษตร ป่าไม้ และประมง และเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพลังงานทดแทนของรัฐบาล ซึ่งมีหน่วยงานระดับกระทรวงร่วมกันทำงานถึง 7 หน่วยงาน (คล้ายๆ กับการบูรณาการเรื่องดังกล่าวในประเทศไทย)
สาเหตุหลักของการแสวงหาพลังงานทดแทน สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ภูมิอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จากการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก สาเหตุสำคัญมาจากการเผาผลาญพลังงานเชื้อเพลิงจากซากฟอสซิลอันเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของโลก และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกใบนี้ อีกทั้งพลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิลดังกล่าวกำลังจะหมดไปในไม่ช้านี้ ดังนั้นการแสวงหาพลังงานทดแทนที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ใหม่ เป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศได้อีกทางหนึ่ง
ดังนั้น นักวิชาการจากทั่วโลกจึงให้ความสนใจต่อการพัฒนาพลังงานทดแทน โดยเฉพาะพลังงานจากแหล่งที่ไม่หมดสิ้นไป สามารถสร้างขึ้นมาทดแทนได้ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือแม้แต่พลังงานจากพืช จนเกิดภาวะการแย่งกันระหว่างพืชอาหารและพืชพลังงาน สร้างปัญหาให้กับรัฐบาลหลายๆประเทศในปัจจุบัน พลังงานทดแทนจากสิ่งมีชีวิต จึงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Biomass
Mr. Aba ผู้นำของ Yamada Biomass กับผลิตภัณฑ์ปุ๋ยหมัก
Biomass หรือ ชีวมวล มาจากคำสองคำ คือ Bio หมายรวมถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหมด และ mass หมายถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งจำนวนมาก ดังนั้น Biomass จึงเป็นพลังงานที่มาจากสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่ไม่นับรวมถึงซากฟอสซิล
กระบวนการผลิต Biomass จะต้องผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสงโดยมีแสง คาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำเป็นวัตถุดิบ Biomass จึงเป็นคาร์บอนที่เป็นกลาง ไม่เพิ่มปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับ
โลกในระหว่างช่วงวรจรชีวิตของมนุษย์ เนื่องจากพืชได้ใช้คาร์บอนไดออกไชด์ในการสังเคราะห์แสง และปลดปล่อยออกมาในกระบวนการผลิตเป็นพลังงานหมุนเวียนในระบบการผลิตของพืชเอง
ตัวอย่าง Biomass ที่สามารถนำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนได้ ได้แก่ มูลสัตว์หรือของเสียจากการทำฟาร์มปศุสัตว์ เช่น น้ำล้างคอกปศุสัตว์ เป็นต้น เศษอาหารจากครัวเรือน ขี้เลื่อย เศษไม้จากการป่าไม้ ฟางข้าว รวมทั้งพืชที่นิยมนำมาเป็นพืชพลังงาน เช่น พืชที่เป็นแหล่ง saccharine เช่น อ้อย sugar beet พืชที่เป็นแหล่ง starch เช่น ข้าว ข้าวโพด และพืชที่เป็นแหล่งน้ำมัน เช่นถั่วเหลืองและ rapeseed เป็นต้น
ข้อมูลส่วนหนึ่งที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจ คือ การนำ Biomass มาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ โดยในปี 2008 พบว่า ปริมาณมูลสัตว์มีราว 87 ล้านตัน ร้อยละ 90 นำมาใช้เป็นปุ๋ย..กระดาษที่ใช้แล้ว ประมาณ 36 ล้านตัน นำมาทำเป็นวัสดุอื่นๆ ประมาณร้อยละ 60 ส่วนที่เหลือไม่ได้ใช้ประโยชน์ ในขณะที่เศษอาหารมีประมาณ 19 ล้านตัน ถูกนำไปเป็นปุ๋ยและอาหารสัตว์ประมาณร้อยละ 25 เช่นเดียวกับเศษเหลือของพืชจากแปลง ที่ไม่สามารถ
บริโภคได้ นำไปเป็นอาหารสัตว์ รองคอกสัตว์ และปุ๋ย ราวร้อยละ 30 เศษเหลือจากไม้ ประมาณ 4.7 ล้านตัน ถูกนำไปใช้ประโยชน์ราวร้อยละ 70
ดังนั้น จะเห็นได้ว่ามีปริมาณของชีวมวลอยู่อีกมากที่ยังไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์รุปแบบการใช้ประโยชน์จาก Biomass ในปัจจุบันที่ญี่ปุ่นดำเนินการอยู่ ประกอบด้วยการนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ปุ๋ยหมัก อาหารสัตว์ แท่งคาร์บอน เม็ดพลาสติก หรือการนำมาผลิตเป็นพลังงาน เช่น ผลิตเป็น bioethanol biodiesel fuel และก้อนพลังงานจากไม้ (woody pallet) เป็นต้น
นโยบายซามูไร
รัฐบาลญี่ปุ่นได้กำหนดนโยบายพลังงานทดแทน โดยมองในภาพรวมทั้งระบบ กล่าวคือ ได้ประกาศกลยุทธการเจริญเติบโตแนวใหม่ (New Growth Strategy) ประกอบด้วยสาระสำคัญ 2 ประการ คือ สิ่งแวดล้อมและพลังงานของชาติภายใต้แนวคิดสีเขียว โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้มีการกระจายตัวระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงานผ่านระบบสารสนเทศ เชื่อมต่อในระดับครัวเรือน ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้แนวคิดดังกล่าว และ แนวคิดเมืองสิ่งแวดล้อมในอนาคต เป็นการนำแนวคิดการสร้างระบบการจัดการพลังงานในเขตเมือง ด้วยการใช้พลังงานทดแทนเพื่ออนุชนรุ่นต่อไป สนับสนุนเขตเมืองให้สร้างระบบพลังงานทดแทนการใช้พลังงานที่ใช้แล้วหมดสิ้นไป
สำนักงานของ Motegi Biomass Town (กองไม้ด้านข้างเป็นวัตถุดิบอีกชนิดหนึ่งของโรงงาน)
นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังได้จัดทำแผนเกี่ยวกับพลังงาน โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการควบคุมและเพิ่มประสิทธิภาพการ
จัดการพลังงานทดแทน การผสมผสานการจัดการระหว่างพลังงานที่ปลดปล่อยออกมา เช่น ความร้อน พลังงานไฟฟ้า ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ยังรวมถึงการจัดการระบบการขนส่ง การจราจร และการติดต่อสื่อสารระหว่างกันให้เป็นระบบที่ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าที่สุด รวมทั้งการสนับสนุนระบบการจัดการพลังงานในชุมชมให้เกิดขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนนั้นๆ
สำหรับแผนงานพลังงานที่เกี่ยวข้องกับอาหาร และชุมชนเกษตรกรรม รัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรมและชุมชนเกษตรกรรม ด้วยการสนับสนุนให้ใช้และผลิตพลังงานทดแทนจากแหล่งพลังงานทดแทนต่างๆ ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล โดยให้ความสำคัญต่อแหล่ง
พลังงานทดแทนที่มีอยู่แล้วในชุมชนนั้นๆ สร้างกระบวนการจัดการและระบบการผลิตพลังงานทดแทนให้เกิดความยั่งยืน และสร้างความก้าวหน้าในอาชีพให้กับเกษตรกรอีกด้วย
จากแนวนโยบายดังกล่าว จึงได้เกิดกลยุทธ Biomass Nippon Strategy ขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2002 เป็นการปกป้องไม่ให้เกิดสภาวะโลกร้อนขึ้น เนื่องจาก biomass เกิดมาจากคาร์บอนไดออกโซด์และปลดปล่อยคาร์บอนไดออกโซด์ออกมา จึงเท่ากับเป็นคาร์บอนที่เป็นกลาง จึงเป็นทางเลือกทดแทนพลังงานที่ได้จากซากฟอสซิล และยังเป็นการสนับสนุนสังคมแห่งการนำมากลับมาใช้ใหม่ เพราะ biomass คือของเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตและการบริโภค ดังนั้นจึงสามารถลดของเสียที่เกิดขึ้นในชุมชนให้น้อยลง และเกิดประโยชน์ต่อชุมชนได้ด้วย
นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างอุตสาหกรรมและสร้างงานขึ้นมาใหม่ด้วยการใช้ประโยชน์จาก biomass เพื่อผลิตเป็นพลังงาน หรือวัตถุอื่นโดยคาดหมายว่าอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ดังกล่าวจะเป็นอุตสาหกรรมชั้นนำของญี่ปุ่นในอนาคต และยังคาดหวังว่าการใช้ประโยชน์จาก Biomass จะเป็นการสร้างประโยชน์ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับชุมชนเกษตรกรรมของญี่ปุ่น
ต่อมาในเดือนมีนาคม ปี 2006 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ปรับปรุงกลยุทธดังกล่าว โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายในปี 2010 จะต้องมี Biomass Town เกิดขึ้นในญี่ปุ่นไม่น้อยกว่า 300 เมือง ด้วยการใช้ biomass จากฟางข้าว และเศษเหลือจากอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นปัจจัยหลัก และสนับสนุนการใช้ biofuel ในประเทศ
สำหรับประเด็นด้าน biofuel ยังคงมีปัญหาที่สำคัญ 2 ประการ ที่ต้องได้รับการแก้ไข นั่นคือ การสนับสนุนการใช้ biofuel ส่งผลกระทบต่อราคาพืชอาหาร โดยเฉพาะพืชที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต biofuel เช่น ข้าวโพด และ sugar beet เป็นต้น และปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มสูงขึ้น จากการกระบวนการผลิต biofuel ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายจะมองว่า biofuel เป็นคาร์บอนที่เป็นกลาง เช่นเดียวกับ biomass แต่หลายฝ่ายก็ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการผลิต การขนส่ง และการผลิตในโรงงานต่างก็มีการปลดปล่อยคาร์บอนออกมาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงต้องดำเนินนโยบายสนับสนุนให้ใช้ biofuel ต่อไปเนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่พึ่งพาอาหารจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการนำพืชอาหารมาผลิตเป็น biofuel จึงมิใช่แนวทางที่ดี รัฐบาลจึงสนับสนุนให้วิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์ cellulose จากวัตถุดิบชนิดอื่นๆแทน รวมทั้งการประเมินวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เพื่อหาข้อยุติว่าการผลิต biofuel จากวัตถุดิบแต่ละชนิด ท้ายที่สุดแล้วมีการปลดปล่อยคาร์บอนออกมาเท่าใด เป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่อย่างไร
Woody Bio-plastic ส่วนหนึ่งของโรงงาน Yamada Biomass ผลิตภัณฑ์จาก Woody Bio-plastic
แผนกลยุทธในปี ค.ศ. 2006 ดังกล่าว มีหน่วยงานในระดับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง จำนวน 7 หน่วยงาน ได้แก่ Cabinet Office Ministry of Internal Affairs and Communications Ministry of Education Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries Ministry of Economy and Industry Ministry of Land, Infrastructure, Transportation and Tourism และ Ministry of Environment โดยได้กำหนด Road Map ในการดำเนินการร่วมกัน ด้วยการวิจัยและพัฒนาที่มีเป้าหมายเพื่อการลดค่าใช้จ่ายในการรวบรวมและการขนส่ง Biomass การพัฒนาพันธุ์พืชที่มุ่งเน้นการผลิต เป็นพืชพลังงานที่สามารถให้เอทานอลสูง และการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเอทานอลจากฟางข้าวและเศษไม้ กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาให้มีการผลิตเอทานอลจาก 30 KL ในปี ค.ศ. 2007 เป็น 50,000 KL จากน้ำตาลและ Starch ในปี ค.ศ. 2011 และเพิ่มขึ้นเป็น 6 Million KL ในปี ค.ศ. 2030 โดยการใช้วัตถุดิบจาก Celluloses และพืชที่พัฒนาเพื่อเป็นพืชพลังงานโดยเฉพาะ
เมืองชีวมวลแบบจับต้องได้
เป้าหมายการสร้าง Biomass Town ของญี่ปุ่นให้ได้ครบ 300 แห่งในปี 2010 จากข้อมูล ณ เดือนกันยายน ปี 2010 มีจำนวน Biomass Town เกิดขึ้นแล้ว รวม 283 แห่ง โดยมีแหล่งของวัตถุดิบแตกต่างกันขึ้นกับวิถีชีวิตของชุมชนนั้นๆ แต่อยู่ภายใต้แนวคิดเดียวกัน คือ เป็นชุมชนที่นำ biomass ที่มีอยู่ในชุมชนไม่ว่าจะเกิดจากกิจกรรมใดๆ มาใช้ประโยชน์สร้างพลังงานทดแทน หรือนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ๆ หมุนเวียนใช้ในชุมชน หรือจำหน่ายออกไปนอกชุมชน เป็นกระบวนการที่พยายามไม่ให้มีของเสียเกิดขึ้นในชุมชน หรือ Zero Waste
นั่นเอง
ตัวอย่างของเมืองชีวมวลที่รัฐบาลญี่ปุ่นผลักดัน จนกระทั่งเป็นตัวอย่างให้กับหลายๆ เมืองที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการมีหลายเมืองด้วยกัน
ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเป็นบางเมือง เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบว่าการสร้างเมืองชีวมวลสามารถทำได้จริง และต้องเป็นตัวจริงเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จ
Motegi Biomass Town โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ที่เมือง Motegi เขต Tochigi เป็นการใช้ประโยชน์จากมูลสัตว์ เศษใบไม้ แกลบ เศษ- อาหาร และขี้เลื่อย เพื่อผลิตปุ๋ยหมักจำหน่ายให้กับชุมชน และบุคคลทั่วไป โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนโครงสร้างโรงงาน และเครื่องจักรจากเทศบาลเมือง เทศบาลท้องถี่น และรัฐบาลกลาง ภายใต้แนวคิดการใช้ประโยชน์จาก biomass ที่มีอยู่ในชุมชนเป็นหลัก
โครงการดังกล่าวนับว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่เมื่อคิดกำไรขาดทุนในเชิงธุรกิจแล้ว โครงการดังกล่าวยังขาดทุนอยู่มาก แต่หากคิดผลรวมที่เกิดต่อชุมชนจะเห็นได้ว่าปริมาณขยะในชุมชนลดลง รัฐบาลเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะน้อยลง รวมทั้งสุขภาพของผู้คนในชุมชนดีขึ้น เนื่องจากได้บริโภคอาหารที่มีคุณภาพ ไม่มีสารเคมีตกค้าง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลลดน้อยลงไปด้วย
เศษไม้ หนึ่งในวัตถุดิบ บ่อหมักปุ๋ยของ Motegi Biomass Town เศษผัก-ผลไม้จาก Supermarket ในชุมชน
Yamada biomass plant โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ที่เมือง Katori เขต Chiba ใน Wago Recycle Center ซึ่งเป็นของสหกรณ์ผู้ผลิตสินค้าเกษตร Wagoen เป็นโครงการที่ MAFF สนับสนุนเทคโนโลยีในการทำปุ๋ยหมักจากมูลสัตว์ และเศษเหลือของผลิตผลทางการเกษตร โดยเฉพาะเศษผัก และผลไม้จาก supermarket รวมถึงการทำปุ๋ยน้ำหมัก ภายใต้แนวคิดการใช้ประโยชน์จาก Biomass ในพื้นที่ และสร้างระบบการผลิตทางการเกษตรให้เป็น Zero Waste ซึ่งวัตถุดิบในการผลิตเหล่านี้รวบรวมมาจากสมาชิกของ Wagoen และจากแหล่งอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง เป็นโครงการที่ช่วยกำจัดมูลสัตว์ และขยะเปียกภายในชุมชนได้เป็นอย่างดี
Kasai City ตั้งอยู่ในเขต Hyogo ชุมชนดังกล่าวได้นำน้ำมันจาก rapeseed มาผลิตเป็น bio diesel fuel เพื่อใช้กับรถไฟที่วิ่งอยู่ในเขตเมือง Kasai จึงนับว่าเป็นโครงการที่เป็นสัญลักษณ์ของการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบในชุมชนให้หมุนเวียนอยู่ในชุมชนได้เป็นอย่างดี
Ie Village ตั้งอยู่ที่เกาะ Okinawa เป็นชุมชนเกษตรกรรมที่ปลูกอ้อยเป็นพืชหลัก ดังนั้นชุมชนดังกล่าวจึงได้นำอ้อยมาเป็นวัตถุดิบผลิตเอทานอล เพื่อนำมาผลิตเป็นพลังงานต่อไป
ท่านผู้อ่านคงเห็นได้ว่า แนวคิดการใช้พลังงานชีวมวลแบบญี่ปุ่นไม่ได้เริ่มจากแนวคิดที่อยู่นอกเหนือผลิตผลที่มีอยู่ในชุมชนนั้นๆ แต่อย่างใด หากแต่เป็นการศึกษาชุมชนนั้นว่ามีสิ่งใดที่เป็น Biomass ได้ แล้วจึงนำเจ้าสิ่งนั้นมาพัฒนาและวิจัยต่อยอดขึ้นไปเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ในที่สุดแล้ว ภาพแห่งอนาคตที่รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการเห็น คือ การเกิดขึ้นของ Smart Village หรือ หมู่บ้านสามารถ (ศัพท์ของผู้เขียนเอง) หมู่บ้านที่มีการใช้ประโยชน์จาก biomass ชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในชุมชนนั้นๆ เช่น การนำเศษไม้มาทำเป็นก้อนเชื้อเพลิง เม็ดพลาสติก การผลิต biogas จากระบบฟาร์ม การใช้พลังงานน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดเล็ก การใช้แผงพลังงานแสงอาทิตย์และการผลิตพลังงานจากพลังงานลมเป็นต้น
พลังงานต่างๆ ที่ผลิตได้เหล่านี้ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จาก biomass จะย้อนเข้าสู่ชุมชน เพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตของชุมชนเป็นวัฏจักรหมุนเวียนกันไป ผู้คนในชุมชนและอุตสาหกรรมในท้องถิ่นสามารถอยู่ได้ พึ่งพาตนเองได้
Eco-car ของ Yamada Biomass Town
หากพลังานหรือผลิตภัณฑ์จาก biomass ที่ชุมชนผลิตได้มีปริมาณมากเกินความต้องการภายใน สามารถที่จะจำหน่ายผ่านระบบเข้าสู่สังคม
เมืองหรือชุมชนอื่นๆ และที่สุดแล้วการสร้าง biomass town ดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือโลกใบนี้ไม่ให้ร้อนขึ้นมากเกินไปนั่นเอง
ดังนั้น เมืองชีวมวล จึงเป็นการสร้างเมืองที่สามารถพึ่งพาพลังงานของตนเอง และเป็นพลังงานชนิดที่สร้างขึ้นมาทดแทนได้ รวมทั้งเป็นการสร้างงาน และสร้างอุตสาหรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในชุมชน รวมทั้งการสร้างชุมชนเขตชนบทให้เป็นชุมชนที่เป็นอิสระทางพลังงาน
แนวคิดเรื่อง biomass town ดังกล่าว ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางความร่วมมือระหว่าง MAFF กับ
กรมวิชาการเกษตร โดยมีการสร้างเมืองชีวมวลขึ้นมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ณ อำเภอนาด้วง จังหวัดเลย
โครงการดังกล่าวในส่วนของกรมวิชาการเกษตรมีผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตพืช ดร.สมเจตน์ ประทุมมินทร์ เป็นผู้ประสานงานโครงการ ผลสำเร็จของโครงการเป็นอย่างไรคงได้เห็นกันในไม่ช้า หากมีโอกาสผู้เขียนจะได้นำเรื่องราวของ biomass town ในเมืองไทยมาเล่าสู่กันฟังจะได้เห็นกันว่าแบบซามูไรญี่ปุ่นกับแบบกระบี่กระบองของเราเป็นเช่นไร
(ขอบคุณ: Mr.Masamichi Saigo,Mr.Yoshiyasu Kamijo ,Environment and Biomass Policy Division, MAF/ข้อมูล:)
พบกันใหม่ฉบับหน้า..........สวัสดี
อังคณา
คำถามฉีกซอง
กองบรรณาธิการจดหมายข่าวผลิใบฯ กรมวิชาการเกษตร จตุจักร กรุงเทพฯ 10900 e-mail : asuwannakoot@hotmail.com