ชื่อบทความ : ภูมิปัญญาย้อมผ้าคราม ความเชื่อเจือ หัวใจอนุรักษ์
ชื่อวารสาร : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
เมื่อเอ่ยถึงคำว่า "คราม" เด็กรุ่นใหม่จำนวนมากอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนักหรือบางคนอาจจะรู้จักในลักษณะของผงสีน้ำเงินที่ใช้ละลายน้ำซักร่วมกับผ้าขาวที่เริ่มหมองให้ดูขาวสดใสยิ่งขึ้น ซึ่งสีดังกล่าวจะค่อย ๆ หลุดไปเมื่อผ้าถูกซักไปเรื่อย ๆ แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่าผงครามดังกล่าวกับสีครามจากธรรมชาติ เป็นคนละตัวกัน ซึ่งผงครามเป็นสารสังเคราะห์ที่ชื่อว่า Ultra harihe blue ไม่ใช่สีครามจากธรรมชาติภูมิปัญญาย้อมผ้าคราม นับถอยหลังไปกว่า 2,000 ปี ที่ผ่านมา มนุษย์ได้เริ่มรู้จักการทำสีครามจากธรรมชาติ โดยนำพืช ได้แก่ คราม เบือก และ ฮ่อม ซึ่งจะมีรูปร่างหน้าตาและชื่อท้องถิ่นแตกต่างกันไปตามภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ครามเถา ครามแงะ ครามน้ำ ฮ่อมเมือง ฯลฯ หลายคนจะเข้าใจผิดว่า “ต้นคราม” กับ “ต้นฮ่อม” ที่นำมาทำสีครามว่าเป็นต้นไม้ชนิดเดียวกันนั้นแท้ที่จริงเป็นคนละชนิด คนละตระกูลกันเลยทีเดียว ฮ่อมถ้าคุ้นเคยก็คงจะคิดถึงคำว่า"หม้อห่อม" หรือ"ม่อฮ่อม" ซึ่งเป็นเสื้อย้อมสีน้ำเงินที่เป็นของฝากเลื่องชื่อของจังหวัดแพร่
การย้อมผ้าสีคราม ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมสีครามจนถึงการก่อหม้อนิล (หม้อย้อมคราม) และมีความเชื่อว่าครามมีผีสิง เพราะผู้ที่จะทำหม้อนิลจะต้องให้ความรักและดูแลใส่ใจเป็นอย่างดี เช่น ต้องคอยสังเกตว่าครามหิวน้ำด่างแล้วหรือยัง หากหิวแล้วผู้ทำจะต้องรีบเติมน้ำด่างในหม้อนิล ถ้าผู้ทำขาดความเอาใจใส่ จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า"หม้อนิลหนี" ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่แม้ว่าจะเป็นแม่ครูที่เชี่ยวชาญในการก่อหม้อครามเพียงใดจะอาจประสบได้นั่นคือปรากฏการณ์ของหม้อนิลที่เราใช้ย้อมผ้าอยู่โดยปกติเกิดเสียไปอย่างง่าย และรวดเร็วและเมื่อย้อม แล้วสีไม่ติดผ้าโดยไม่รู้สาเหตุ หลังจากนั้นเมื่อทิ้งไว้สักระยะหนึ่งจู่ ๆ ก็ใช้ย้อมผ้าได้อีกครั้ง แต่บางครั้งก็ไม่สามารถจะใช้ย้อมผ้าได้อีกจนต้องคว่ำหม้อทิ้งและก่อหม้อครามใหม่ คนในสมัยโบราณไม่รู้ว่าสาเหตุของปรากฏการณ์นี้คืออะไร และได้มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะผีหม้อนิลหายไป ดังลักษณะของผีที่สามารถหายไปหรือกลับมาได้อย่างไร้ร่องรอย
“ ห้อมและครามกับวิถีพื้นบ้าน”
ต้นห้อม (Baphicacanthus cusia (Ness) Bremek.)เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นกลม แตกกิ่งตามข้อ ใบเดี่ยวหัวใบเรียว ท้ายใบแหลม ขอบใบหยัก ใบเขียวมัน ดอกสีม่วง รูปทรงคล้ายระฆัง ขยายพันธุ์โดยเมล็ดและส่วนของลำต้นปักชำ เจริญเติบโตได้ดีในป่าชื้น ใกล้แหล่งน้ำ ลำธาร ต้องการร่มเงามาก ไม่ชอบแสงแดดจัด
ต้นคราม (Indigofera tinctoria.) เป็นพืชล้มลุก สูง ๑-๑.๒๐ เมตร อายุประมาณ ๒-๓ ปี ใบประกอบแบบขนนก ดอกสีเหลือง ฝักคล้ายฝักถั่วเขียวแต่เล็กกว่าออกเป็นกระจุก ขยายพันธุ์โดยเมล็ด ขึ้นได้ ดีในดินที่ระบายน้ำได้ดี มีร่มเงาบ้างหรือเปิดโล่ง ใช้เป็นสมุนไพรบำรุงกำลัง แก้ไข้ รักษาแผลสด ห้ามเลือด แก้อักเสบ ฯลฯ
การใช้ต้นครามเพื่อหมักย้อมผ้า จะใช้ต้นครามทั้งต้น ช่วงอายุประมาณ ๔ เดือนหรือช่วงกำลังออกดอก มักจะเก็บเกี่ยวตอนเช้าตรู่เชื่อกันว่าจะได้เนื้อครามมากกว่าช่วงอื่น ใช้ใบและลำต้นห้อมอายุประมาณ ๑-๒ ปีหมักย้อมผ้าได้สีครามหรือดำ
การย้อมสีครามธรรมชาติ..นั้น พบว่ามีการย้อมได้จากพืชหลายชนิด แต่ที่พบในประเทศไทยนั้นมีอยู่สองชนิดคือ ห้อม และ คราม ซึ่งกรรมวิธีในการย้อมจะคล้ายคลึงกัน คือการนำส่วนของพืชมาหมักแช่น้ำให้เน่าเปื่อยแล้วแยกเอาส่วนของเนื้อสีออกมาโดยการตกตะกอนด้วยปูนขาว และอากาศ ปล่อยให้ตะกอนนอนก้นแล้วจึงแยกส่วนที่เป็นน้ำออก จะได้เนื้อครามเป็นตะกอนข้นเหนียวเหมือนโคลน เนื้อครามที่ได้สามารถเก็บไว้ใช้ได้เป็นปี โดยเก็บไว้ในหม้อดินที่มีน้ำด่างหล่อเลี้ยงไม่ให้เนื้อครามแห้ง น้ำด่างที่กล่าวถึงคือน้ำล้างขี้เถ้าของพืชเช่น ต้นกล้วย มะละกอ มะขาม เปลือกผลนุ่นเป็นต้น
การย้อมผ้าครามที่เรียกกันว่า “การย้อมคราม” หรือ “หม้อห้อม” จะนำเนื้อครามที่ได้จากการหมัก มาทำการย้อมด้วยสภาวะที่เป็นด่าง โดยการผสมกับส่วนประกอบต่างๆมากมายตามสูตรหรือวิธีการของแต่ละท้องถิ่น เช่น น้ำด่าง ปูนขาว ขมิ้น เหล้าป่า ฝักส้มป่อย ต้นอ้อย กล้วย ใบฝรั่ง แล้วกวนหรือโจกให้โดนอากาศแล้วทิ้งไว้จนส่วนผสมต่างๆทำให้เนื้อครามเปลี่ยนจากสีครามน้ำเงินกลายเป็นสีเหลืองอมเขียว จึงนำผ้าหรือด้ายที่ทำความสะอาดแล้วชุบน้ำพอหมาด ลงย้อมให้เนื้อครามเข้าเกาะเส้นใย แล้วจึงนำขึ้นกระตุกให้โดนอากาศ ผ้าหรือฝ้ายจะค่อยๆเปลี่ยนจากสีเหลืองของน้ำหม้อครามเป็นสีน้ำเงิน นำไปผึ่งให้แห้ง ถ้าต้องการให้สีครามเข้มก็ทำการย้อมหลายๆครั้ง หรือย้อมทับด้วยสีธรรมชาติอื่นๆก็จะได้สีแตกต่างกันไป ตามชนิดของสีที่ใช้ผสม ขึ้นอยู่กับเทคนิควิธีการของผู้ย้อมแต่ละคน
สีคราม นั้นเคยได้ชื่อว่าเป็น “ ราชาแห่งสี ” เพราะไม่มีสีชนิดใดที่มีความสัมพันธ์กับขนบธรรมเนียมและประเพณีเทียบเท่าสีคราม สีน้ำเงินเข้ม..หรือสีครามเป็นที่นิยมโดยทั่วไป ประวัติการใช้สีครามจากพืชมีมานับพันปี อย่างไรก็ตามการย้อมสีครามจากธรรมชาติเกือบจะหมดสิ้นจากสังคมเมื่อมีการใช้และผลิตสีสังเคราะห์ แต่ยังมีกลุ่มคนที่ยังรักและหวงแหนภูมิรู้ มรดกของท้องถิ่นจึงยังคงยึดถือและสืบทอดการย้อมสีครามธรรมชาติอยู่อย่างเงียบๆในท้องถิ่นชนบท
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้มีการตื่นตัวในเรื่องปัญหามลภาวะจากอุตสาหกรรมการผลิตสีสังเคราะห์และผลกระทบของสีสังเคราะห์ต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค จึงก่อเกิดความสนใจที่จะรื้อฟื้นวิถีการผลิตจากธรรมชาติจริงๆโดยเชื่อมสัมพันธ์กับขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น ขณะที่ช่างทอผู้สืบทอดและรักการย้อมสีครามธรรมชาติยังคง รักษา พัฒนา และนำภูมิรู้ของบรรพบุรุษ มาปรับใช้ในวิถีการผลิตของตนซึ่งไปประจวบเหมาะกับการบริโภคที่หวนกลับสู่ธรรมชาติพอดี
.............................................................................................
จาก http://www.seubsan.net
ภาพและเรื่อง : เด็กสืบสาน
การดูแลรักษาผ้าย้อมคราม
การซักผ้าคราม ควรซักแยกต่างหาก ให้ใช้ผงซักฟอกเล็กน้อย ไม่ควรใช้น้ำยาซักผ้าขาวเพราะจะทำให้สีตกเร็ว ควรซักด้วยมือและตากในที่ร่มลมโกรก เพื่อช่วยถนอมเนื้อผ้า ผ้าครามดูแลรักษาง่ายควรเก็บไว้ในที่ร่มจะทนทาน
ครามนอกจากทำมาย้อมผ้าได้แล้วยังแฝงไปด้วยคุณสมบัติพิเศษที่น่าทึ่งอีกด้วยขอรับ นั่นก็คือ การมีคุณสมบัติเป็นสมุนไพร ใช้รักษาแผลของสัตว์ คนสมัยก่อนใช้ครามรักษาบาดแผลโดยการทาบริเวณที่เป็นแผลให้วัว ควาย นอกจากนี้ยังใช้ในการถอนพิษที่เกิดจากน่อง(สารพิษจากธรรมชาติ) และใช้ทาปลายลูกดอกธนูเพื่อล่าสัตว์อักด้วย
ส่วนผ้าที่ผ่านการย้อมครามมาแล้วนั้นก็ยังมีคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นได้อีกนั่นก็คือ ถ้าตัดเป็นเสื้อสวมใส่จะช่วยซับเหงื่อ ดับกลิ่นตัว เย็นสบาย ส่วนเสื้อผ้าเก่าที่ไม่ใช้แล้วจะนำท่อลูกประคบ ใช้ประคบตามตัวแก้เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ หรือใช้ร่วมกับยาสมุนไพรแก้ช้ำในก็ได้ด้วย
และทั้งหมดนี้ก็คือภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาลของชาวบ้านบ้านโพนแพง และต่อไปก็คงหน้าที่ของเยาวชนรุ่นใหม่ที่จะมารับช่วงสืบทอดกันต่อไป