เกษตรกรรมปลอดพิษ ชีวิตปลอดภัย
จากวารสารผลิใบ : ศิริพร วันฟั่น เรื่อง
นับแต่มีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกในปีพ.ศ. 2504 เป็นต้นมา ประเทศไทยเน้นทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการพัฒนาเกษตรกรรม ขานรับอิทธิพลกระแส 'ปฏิวัติสีเขียว' ของชาติตะวันตก ซึ่งเชื่อว่า "การทำการเกษตรแบบสมัยใหม่" ที่เน้นการใช้เครื่องจักรและสารเคมี แทนการใช้แรงงานคนและสัตว์ในกระบวนการผลิตตามธรรมชาติ เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเพื่อรองรับตลาดการค้า ทำให้เกษตรกรมีรายได้ ส่งผลรวมต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ความจริงบทหนึ่งที่เรียนรู้ได้ในเวลาต่อมาก็คือ แม้ตัวเลขการส่งออกพืชเศรษฐกิจและปริมาณการผลิตจะเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว หากแต่ผลกระทบที่ตามมากลับมากมายมหาศาล ทั้งปัญหาการลดลงของพื้นที่ป่า ปัญหาความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม พิษภัยจากสารเคมีตกค้างที่ส่งผลคุกคามสุขภาพของเกษตรกร ผู้บริโภค ตลอดจนผืนดิน แหล่งน้ำ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว ตลอดถึงปัญหาทางสังคมและวัฒนธรรม
ปัจจุบันสาธารณชนให้ความสนใจกับภาวะสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้สังคมโดยรวมกลับมาทบทวนถึงรากฐานของระบบเกษตรกรรม ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของคนทั้งประเทศ ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลยังได้ประกาศนโยบายมุ่งมั่นที่จะเป็น "ครัวโลก" เป็นศูนย์รวมแหล่งวัตถุดิบทางด้านเกษตรกรรม ส่งออกเป็นอาหารให้คนทั้งโลก ซึ่งนั่นหมายถึง ตัวเลขรายได้ของประเทศจะขยับสูงขึ้น
ขณะที่ความเป็นจริงในปัจจุบัน เกษตรกรส่วนใหญ่ตกอยู่ในวังวนหนี้สินอย่างไม่รู้จบ เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจนถึงจุดไม่คุ้มทุน ประกอบกับโรคแมลงและพืชรุมเร้าพืชผลทางการเกษตรมากขึ้น เพราะเกิดอาการดื้อยา ทำให้เกษตรกรต้องเพิ่มปริมาณการใช้สารเคมีมากขึ้นอีกเป็นเงาตามตัว ในที่สุดผลกระทบก็คงหนีไม่พ้นที่จะเกิดกับ "ผู้บริโภค"
ประเทศไทยกับการใช้สารเคมี
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการใช้สารเคมีเกษตรมากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อมูลจากสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร รายงานว่า ในปีพ.ศ.2546 ปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีของไทยอยู่ที่ 3,952,356 ตัน ในจำนวนนี้เป็นปุ๋ยนำเข้า 3,837,787 ตัน คิดเป็นมูลค่า 25,747 ล้านบาท
ส่วนสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืชที่นำเข้าในปีเดียวกัน ข้อมูลของฝ่ายวัตถุมีพิษ สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ระบุว่า มีปริมาณรวม 50,331 ตัน คิดเป็นมูลค่า 11,341 ล้านบาท ส่วนประเภทที่นำเข้าสูงสุดคือ สารกำจัดวัชพืช จำนวน 31,879 ตัน โดยรวมแล้วปริมาณการใช้สารเคมีในปีพ.ศ.2546 จึงไม่น้อยกว่า 4 ล้านตัน
ทุกปีประเทศไทยต้องจ่ายเงินค่านำเข้าสารเคมีการเกษตรราว 3 หมื่นล้านบาท เทียบกับรายได้การส่งออกข้าวมูลค่า 70,532 ล้านบาทแล้ว คงได้คำตอบว่า ทำไมชาวนาไทยถึงเป็นหนี้กันไม่รู้จบ เฉพาะค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อปุ๋ยและยาฆ่าแมลงก็เกือบครึ่งของราคาขายแล้ว ยังมีค่าแรงงานคน ค่าขนส่ง ค่าเช่า ค่าน้ำมันรถไถ และอื่นๆ อีกจิปาถะ หักลบกลบหนี้กันแล้ว เกษตรกรก็ต้องติดลบอยู่วันยังค่ำ
ที่ร้ายกว่านั้นคือ สารเคมีเหล่านั้นส่งผลตกค้างในสิ่งแวดล้อม และนับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการใช้สารเคมีมากเกินความจำเป็น และการใช้อย่างไม่ถูกวิธี ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ในบรรดาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชราว 1,600 ชนิดที่มีการใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีอยู่เพียงไม่ถึง 160 ชนิด ที่เราทราบผลกระทบของมันอย่างชัดเจน แต่สารเคมีอีกกว่าพันชนิดนั้น ไม่มีใครรู้ว่ามันส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดจากการตกค้างสะสมในสิ่งแวดล้อม
จากการศึกษาของกรมวิชาการเกษตรพบว่า
ในสารฆ่าแมลง 100 กิโลกรัม ที่ฉีดพ่นออกไป จะมีเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้นที่ฉีดโดนแมลงและทำให้แมลงตาย แต่ส่วนที่เหลืออีก 99 กิโลกรัม จะตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมทั้งหมด โดยปลิวไปในอากาศมากถึง 30 กิโลกรัม ระเหยไป 10 กิโลกรัม พลาดพืชเป้าหมายไปอีก 15 กิโลกรัม ไม่โดนแมลงและตกค้างบนพืชอีก 41 กิโลกรัม นอกนั้นจะโดนแมลงในจุดที่ไม่สำคัญอีก 3 กิโลกรัม ซึ่งสารเคมีเษตรเหล่านี้จะตกค้างสะสมอยู่ในสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่อาหารได้เป็นเวลานานหลายปี ส่งผลกระทบสืบเนื่องไปถึงสุขภาพของเกษตรกร ผู้บริโภค และเป็นปัญหาทางด้านการค้าและการส่งออก
สารเคมีเกษตรตกค้าง
กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำโครงการเฝ้าระวังความปลอดภัยของผักปลอดสารเคมี โดยได้สุ่มเก็บตัวอย่างผักมาตรวจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 ปี ในช่วง พ.ศ. 2537 - 2542 ซึ่งจากการตรวจสอบผักที่วางขายในท้องตลาดทั่วไป 156 ตัวอย่าง พบว่ามีผักมากถึงร้อยละ 73.72 ที่มีการปนเปื้อนของสารเคมี นอกจากนี้ผลการตรวจสอบตัวอย่างผักที่อ้างว่าปลอดสารพิษ ก็พบการตกค้างเช่นกัน ประมาณร้อยละ 43.62 พบว่า คะน้าเป็นผักที่พบสารเคมีตกค้างมากที่สุด รองลงมาคือ ผักกวางตุ้งและผักกาดขาว และในปีหลังๆ เริ่มพบสารเคมีตกค้างในถั่วฝักยาวอีกด้วย
ส่วนในช่วงเดือนมีนาคมพ.ศ.2545 ถึงมีนาคม พ.ศ.2546 กรมส่งเสริมการเกษตรได้สำรวจตรวจหาสารเคมีเกษตรตกค้างในผักและผลไม้ที่ตลาดสี่มุมเมือง รวมทั้งสิ้น 1,753 ตัวอย่าง พบสารเคมีตกค้างจำพวกสารประกอบซัลเฟตและคาร์บาเมทสูงถึงร้อยละ 89.13 โดยเป็นการตกค้างในระดับที่ไม่ปลอดภัยร้อยละ 3.5 ผลการสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นว่า อาจเกิดจากความต้องการรับซื้อผลผลิตที่สวยงามของพ่อค้าแม่ค้า ทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมีเกษตรมากกว่าปกติ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่สวยงามและขายได้ราคาสูง จึงต้องเร่งใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชต่างๆ มากขึ้น ทำให้เกิดสารเคมีตกค้างในปริมาณที่สูงกว่าผลผลิตที่เก็บจากไร่นาทั่วไป
นอกจากนี้ มีข้อสังเกตประการหนึ่งคือ สัดส่วนสารเคมีตกค้างมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น พบได้ทั้งในผักทั่วไปและผักปลอดสารพิษ ยิ่งกว่านั้น การตรวจสอบยังพบสารเคมีตกค้างชนิดที่มีการห้ามใช้อย่างเช่น สารเอ็นโดซัลแฟน และสารโมโนโคโตฟอส ซึ่งประเทศไทยห้ามใช้มาตั้งแต่ปี 2543
ขณะที่ผลสำรวจสารเคมีตกค้างในพืชผักจากต่างจังหวัด จำนวน 414 ตัวอย่าง พบว่ามีสารเคมีเกษตรตกค้างร้อยละ 43.23 และร้อยละ 21.01 อยู่ในระดับที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งพืชที่มีสารเคมีตกค้างในระดับที่ไม่ปลอดภัย 3 อันดับต้นๆ คือ กะหล่ำดอก ถั่วลันเตา และหัวหอม
นอกจากนี้ยังพบสารเคมีตกค้างในสินค้าเกษตรจำพวกข้าว ผัก และผลไม้ ที่ส่งออกไปขายยังต่างประเทศจำนวนหนึ่ง ทำให้หลายประเทศ รวมถึงญี่ปุ่น ไต้หวัน นอร์เวย์ ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ห้ามนำเข้าสินค้าที่มีสารเคมีตกค้างในช่วงปีพ.ศ. 2543 - 2544
ทางเลือกมีมากกว่าหนึ่ง
ด้วยวิกฤติปัญหาดังกล่าว ประกอบกับการเรียกร้องของภาคประชาคม ส่งผลให้รัฐบาลปรับนโยบายทิศทางการพัฒนาประเทศ ตั้งแต่ปลายแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 และชัดเจนยิ่งขึ้นในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (ปีพ.ศ. 2540 - 2544) และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (ปีพ.ศ.2545 - 2549) มุ่งเน้นนโยบายสนับสนุนการเกษตรแบบ "ยั่งยืน" ที่มีคนเป็นศูนย์กลางและเน้น "เศรษฐกิจแบบพอเพียง" แต่ยังคงไว้ซึ่งความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
เกษตรกรรมยั่งยืนนี้ เป็นแนวทางพัฒนาการเกษตรอันเป็นทิศทางเดียวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งทั่วทั้งโลกกำลังให้ความสำคัญ หลังจากการพัฒนาที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบอันไม่พึงประสงค์หลายอย่าง โดยพัฒนาการเกษตรกรรมอินทรีย์ในต่างประเทศ เริ่มขึ้นที่ยุโรปเมื่อราว 50 ปีที่ผ่านมา (เป็นช่วงเดียวกับที่ไทยเรากำลัง 'เห่อ' ใช้สารเคมีเกษตร) ซึ่งเป็นช่วงที่เกษตรกรในยุโรปเริ่มประสบปัญหาจากการทำการเกษตรเคมีมายาวนาน ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพ ด้วยการริเริ่มร่วมกันของเกษตรกรและนักวิชาการ ต่อมาก็ได้มีการนำแนวคิดนี้ไปทดลองทำและขยายไปทั่วยุโรป เมื่อมีการพัฒนากันมากขึ้น รัฐบาลหันมาสนใจและให้เงินอุดหนุนโดยตรง จากนั้นก็มีการขยายต่อไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยเราด้วย
สหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Organic Agriculture Movements - IFOAM) ให้นิยามเกษตรอินทรีย์ว่า เป็นระบบการเกษตรที่ผลิตอาหารและเส้นใย ด้วยความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ โดยเน้นหลักการปรับปรุงบำรุงดิน การเคารพต่อศักยภาพทางธรรมชาติของพืช สัตว์ และนิเวศการเกษตร เกษตรอินทรีย์จึงลดการใช้ปัจจัยการผลิตจากภายนอก และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์ เช่น ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ ในขณะเดียวกันก็พยายามประยุกต์ใช้ธรรมชาติในการเพิ่มผลผลิตและพัฒนาความต้านทางต่อโรคของพืชและสัตว์เลี้ยง หลักการเกษตรอินทรีย์นี้ เป็นหลักการสากลที่สอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม ภูมิอากาศและวัฒนธรรมของท้องถิ่นด้วย
เกษตรอินทรีย์มุ่งเน้นการทำเกษตรที่คำนึงถึงความสอดคล้องกับวิถีธรรมชาติ เช่น ปลูกพืชตามฤดูกาล หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทางการเกษตร และสารพิษทุกชนิด บำรุงรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน เช่น ปลูกพืชตระกูลถั่ว พืชคลุมดิน และใช้ปุ๋ยอินทรีย์อย่างผสมผสาน รักษาความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการปลูกพืชหลายชนิดร่วมกันในพื้นที่เพาะปลูก สัตว์เลี้ยงได้รับการดูแลที่เหมาะสม ไม่กักขังและทำทารุณ เกษตรกรมีความสุข มีเสรีภาพและรายได้ที่เป็นธรรม เกษตรกรพึ่งพาตนเองด้านปัจจัยการผลิต ส่งเสริมให้มีการแพร่ขยายพันธุ์พืชและสัตว์ที่มีประโยชน์ เช่น การปลูกไม้ดอกแซมในไร่นา หรือการปลูกพืชให้เป็นที่อยู่ของสัตว์และแมลงที่เป็นประโยชน์ ปลูกพืชขับไล่แมลงร่วมกันในแปลงปลูกพืช ช่วยลดปัญหาแมลงศัตรูพืชได้
เช่น ปลูกหอมใหญ่ร่วมกับกะหล่ำปลี ตะไคร้หอมกับผักคะน้า เป็นต้น หลีกเลี่ยงการปลูกพืชชนิดเดิมซ้ำบนแปลงเดียวกัน แต่ปลูกผักหรือพืชอื่นหมุนเวียนกันในแปลง เพื่อลดปัญหาการระบาดของโรคและแมลง ใช้วิธีควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืช เช่น การไถกลบ การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชร่วม การปลูกพืชคลุมดิน การใช้วัสดุคลุมดินจากธรรมชาติ
ระบบเกษตรยั่งยืนจึงเป็นแนวทางการพัฒนาอาชีพที่สัมพันธ์กับการเกษตรและสิ่งแวดล้อม สอดรับกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางหลักของการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ การผลิตผักไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในแปลงเปิด โดยวิธีการบริหารศัตรูพืชแบบผสมผสาน นับเป็นวิธีการหนึ่งที่ปลอดภัยต่อผู้ผลิต ผู้บริโภค ใช้ต้นทุนการผลิตต่ำและให้ผลตอบแทนสูงไม่แพ้การผลิตผักโดยวิธีการอื่น ๆ จึงนับได้ว่าเป็นการผลิตผักปลอดภัยอีกวิธีการหนึ่งที่เป็นทางเลือกของเกษตรกร
นี่เป็นมิติใหม่ของนโยบายพัฒนาการเกษตรไทยที่เล็งเป้าหมายสูงกว่าตัวเลขรายได้ เพราะให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการได้ตามเป้าหมายต้องได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ เอกชน ตลอดจนตัวเกษตรกร ผู้บริโภค และกลไกต่างๆ ในสังคม เพื่อผลักดัน "นโยบาย" ไปสู่ "การปฏิบัติ" ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ
6 สารเคมีอันตราย
ข้อมูลจากหนังสือ 6สารเคมีอันตราย : ภัยคุกคามสุขภาพคนไทย * ระบุว่า สารเคมีทั้ง 6 ชนิด ได้แก่
- พาราไธออน เมทิล (Parathion methyl) หรือที่รู้จักดีในทางการค้า เช่น โฟลิดอน ดี605, ประตูทอง 3.5.9, โพลิดอน เอ็ม 50 อี 605, โฟลิดอน, พาราเมท เป็นต้น องค์การอนามัยโลกจัดว่าเป็นสารที่มีอันตรายร้ายแรงสูงมาก หากคนเรากินสารเคมีชนิดนี้เข้าไปไม่ถึง 1 ช้อนชา ก็อาจเสียชีวิตได้ ปัจจุบันประเทศอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฟิลิปปินส์ และศรีลังกา ห้ามใช้ ห้ามจำหน่าย และห้ามนำเข้าสารนี้แล้ว ขณะที่ประเทศสหราชอาณาจักร ห้ามมิให้มีการขึ้นทะเบียนการใช้ ขณะที่ประเทศมาเลเซีย สหภาพเมียนมาร์ และแคนาดา ได้ประกาศห้ามนำสารเคมีนี้เข้าประเทศ
ปัจจุบันยังมีการอนุญาตให้ใช้สารเคมีชนิดนี้ในประเทศไทย แต่คณะกรรมการวัตถุอันตรายแห่งชาติกำลังดำเนินการให้มีการประกาศห้ามใช้สารพาราไธออนเมทิล
การเพาะปลูกพืชจำพวกผักบุ้งจีน กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ลำไย แอปเปิ้ล ส้มเขียวหวาน ฝรั่ง พุทรา ชมพู่ องุ่น หัวหอม มะเขือเทศ คะน้า และข้าว มักใช้สารพาราไธออนเมทิล
- .อีพีเอ็น (EPN) หรือชื่อทางการค้า ได้แก่ อีซี่น๊อก คูมิฟอส อีพีเอ็น ฟริสโน 45 คาวิตี้ โฟเมท อีซี เป็นต้น จัดว่ามีอันตรายร้ายแรงสูงมาก ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการยกเลิกการใช้สารนี้แล้ว และไม่มีการขึ้นทะเบียนการใช้ในประเทศออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และแคนาดา ส่วนประเทศอินเดียมีการห้ามใช้สารนี้อย่างเด็ดขาด
ประเทศไทยยังมีการอนุญาตให้ใช้สารเคมีชนิดนี้ แต่จัดเป็นสารกลุ่มที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายแห่งชาติต้องเฝ้าระวัง
พืชที่มักใช้สารชนิดนี้ในการเพาะปลูก ได้แก่ ข้าวโพด เป็นต้น
- คาร์โบฟูแรน (Carbofuran) รู้จักในทางการค้าว่า ฟูราดาน ยิปปูราน คาซาลิน คาเบนฟูดาน 3 จี เป็นต้น จัดเป็นสารที่มีพิษร้ายแรงสูง ในประเทศสหราชอาณาจักร สารชนิดนี้ถูกยกเลิกการใช้ตั้งแต่ปีค.ศ.2000 ภายใต้เงื่อนไขการใช้ให้หมดภายในปีค.ศ.2002 สำหรับประเทศไทยยังมีการอนุญาตให้ใช้สารคาร์โบฟูรานได้ พืชที่ใช้สารคาร์โบฟูรานในการเพาะปลูก ได้แก่ ถั่วฝักยาว ข้าว แตงโม แตงกวา กาแฟ กล้วย ส้มเขียวหวาน ถั่วแขก ถั่วแระ ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา องุ่น สตรอเบอร์รี่ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง เป็นต้น
- ไดโครโตฟอส (Dicrotophos) มีพิษร้ายแรงสูง ประเทศอินเดียและปากีสถานได้ประกาศห้ามใช้สารชนิดนี้อย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับประเทศสหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกการใช้แล้ว ขณะที่ประเทศออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และแคนาดาห้ามขึ้นทะเบียนการใช้
พืชจำพวกผักกาดหัว ถั่วฝักยาว ข้าว กาแฟ มะเขือเทศ อ้อย มันฝรั่ง ข้าวโพด คะน้า ส้มเขียวหวาน ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วแระ ถั่วแขก ถั่วลันเตา องุ่น ฝ้าย สตรอเบอร์รี่ กะหล่ำปลี เป็นต้น มักใช้ไดโครโตฟอสในการเพาะปลูก
- เมทโทมิล (Methomyl) จัดว่ามีพิษร้ายแรงสูง สารชนิดนี้ถูกยกเลิกการใช้ในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ปีค.ศ.2000 และไม่มีการขึ้นทะเบียนการใช้ในประเทศเยอรมนีและฟินแลนด์ ส่วนในประเทศไทยนั้นยังมีการใช้สารนี้อย่างกว้างขวางในชื่อทางการค้าว่า แลนเนท สกาย เมโทมิล แรนดอม น๊อคออน เมทโธเม็กซ์ โกลเด้นฟลาย ฯลฯ มักใช้ในการเพาะปลูกพืชจำพวกองุ่น ส้มเขียวหวาน สตรอเบอร์รี่ ลำไย แอปเปิ้ล กระหล่ำปลี หัวหอม มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่ง กระเจี๊ยบขาว ฯลฯ
- เอ็นโดซัลแฟน (Endosulfan) จัดว่ามีอันตรายปานกลาง หากคนเรากินสารเคมีชนิดนี้เข้าไปประมาณ 1 ช้อนชา ถึง 2 ช้อนโต๊ะ ก็อาจเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล แต่ในสหรัฐอเมริกาจัดให้สารนี้อยู่ในกลุ่มสารที่มีอันตรายสูงมาก ประเทศเนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ ฟิลิปปินส์ และศรีลังกา มีประกาศห้ามใช้ ห้ามผลิต และห้ามจำหน่ายสารนี้
ประเทศไทยมีการใช้สารเอ็นโดซัลแฟนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะไม้ผล ผัก และในนาข้าว ชาวนานิยมใช้สารนี้กำจัดหอยเชอรี่ สารนี้มีอันตรายต่อสัตว์น้ำรุนแรงมาก คณะกรรมการวัตถุอันตรายแห่งชาติจึงจัดให้เป็นสารเคมีที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
* จัดทำโดย เครือข่ายสาขานโยบายการเกษตรและชนบท แผนงานวิจัยและพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ และระบบการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข โทรศัพท์ 0-2951-0169-70 http://www.hpp-hia.or.th
ข้อมูลอ้างอิง
1. นิตยสารนิวไลฟ์, ผักปลอดสารพิษ, ปีที่ 23 ฉบับที่ 76 เดือนกันยายน - ธันวาคม 2545, หน้า 22-23
2. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, เอกสารประกอบการปฏิรูประบบสุขภาพ สำหรับการประชุมเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2546, หยุด ! สารเคมีเกษตรเพื่อสุขภาพคนไทย, กรุงเทพฯ
3. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, เอกสารประกอบการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี 2547, มาตรการควบคุมระบบการตลาดสารเคมี, สิงหาคม 2547
4. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 6 สารเคมีอันตราย : ภัยคุกคามสุขภาพคนไทย,กันยายน 2547.
5. ศูนย์วิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตทางเกษตร (ศวพก.), คณะเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, จ.เชียงใหม่ 50200
โทรศัพท์ 053-221275 โทรสาร 053-210000 http://mccweb.agri.cmu.ac.th